กลุ่มชายชุดดำ ที่ปฎิบัติการสังหารโหดนายทหาร ที่สี่แยกคอกวัว เมื่อ 10 เม.ย.53 โดนจับกุม เมื่อ ก.ย. 57 ถูกคุมขังอยู่ในคุก 5 คน มี นายก...
กลุ่มชายชุดดำ ที่ปฎิบัติการสังหารโหดนายทหาร ที่สี่แยกคอกวัว เมื่อ 10 เม.ย.53 โดนจับกุม เมื่อ ก.ย. 57 ถูกคุมขังอยู่ในคุก 5 คน มี นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี นายปรีชา... อยู่เย็น นายรณฤทธิ์ สุริชา นางสาวปุณิกา ชูศรี และนายชำนาญ ภาคีฉาย ผู้ต้องหาทั้งหมด รับสารภาพว่า ร่วมกัน ใช้อาวุธสงคราม ยิงต่อสู้กับทหาร ระหว่างขอคืนพื้นที่การชุมนุม กลุ่ม นปช. บริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อช่วงค่ำ 10 เม.ย.53 เป็นเหตุให้ทหาร รวมถึง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม พลเรือน เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก
ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ ว่าร่วมกันก่อเหตุจริง โดยรู้จักกันที่สถานีวิทยุ FM 97.75 ก่อนร่วมกันวางแผนก่อเหตุ ก่อนปฎิบัติการ 2 วัน ที่บ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา โดยมี นายจักรรินทร์ หรือ เสธไก่ เรืองศักดิ์วิชิต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบก สระบุรี ที่อยู่ระหว่างการหลบหนีเป็นผู้บงการจัดอาวุธให้
วันที่ 10 เม.ย.53 กลุ่มผู้ต้องหา จึงได้ลงมือก่อเหตุ ใช้รถตู้สีขาว เป็นยานพาหนะ พร้อมอาวุธสงคราม มาจอดบริเวณทางเข้าหน้าสำนักงานบริพัตร ถนนตะนาว แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งหากจากวัดมหรรณพาราม ประมาณ 20 เมตร หลังรับมอบอาวุธมาจาก คอนโดมิเนียมบ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา
หลังจากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือนายกิตติศักดิ์ นายปรีชา นายชำนาญ ได้นำอาวุธสงครามออกมาก่อเหตุ โดยนายกิตติศักดิ์ ได้เป็นผู้เปิดฉากยิงอาวุธปืน ชนิด เอ็ม 79 หลังจานั้นนายปรีชา ได้ยิงอาวุธปืน AK47 เข้าใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่และผู้ชุม ที่อยู่บริเวณแยกคอกวัว ส่วนนายชำนาญ ได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ด้วย เช่นกัน ส่วนนายธรรมรัตน์ สุ่มสี หรือนายดำ ได้อยู่ร่วมก่อเหตุด้วย โดยใช้อาวุธปืนชนิด M79 ซึ่งหลังเกิดเหตุ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัว ขณะที่นางปุณิกา ชูศรี หรืออร ยังคงนั่งอยู่ภายในรถตู้ พร้อมกับ ครอบครองระเบิดเพลิงไว้ สำหรับนายนายรณฤทธิ์ เป็นผู้ขับขี่รถตู้ที่ใช้ในการก่อเหตุ หลังจากผู้ต้องหาทั้ง 3 ก่อเหตุ ในจุดแรกผู้ต้องหาทั้งหมด ได้พยายามลักลอบนำอาวุธสงครามเข้าไป ภายในถนนราชดำเนิน
นายกิตติศักดิ์ และนายปรีชา พยายามจะผ่านจุดคัดกรอง เข้าไปภายในถนนราชดำเนิน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้น พบอาวุธสงคราม แต่เมื่อบอกรหัส “พิราบขาว” การ์ด จึงปล่อยให้ทั้งคู่เข้าไป
ส่วนนายชำนาญ ได้แอบลักลอบเข้าไป บริเวณถนนตะนาว ฝั่งซอยดำเนินกลางเหนือ ห่างจากถนนข้าวประมาณ 10 เมตร ผ่านทางด้านข้างฝั่งซ้ายของแผงกั้น พร้อมกับอาวุธปืน M16 โดยยิงเข้าใส่ จนท.ทหาร ที่ประจำอยู่บนอาคารสำนักงานฉลากกินแบ่ง (อาคารเก่า) หลังจากนั้นนายกิตติศักดิ์ ได้ใช้อาวุธปืนชนิด M79 ยิงใส่เต็นท์ จนท.ทหาร หน้าร้านแกรนด์ จิวเวอร์รี่ แต่อาวุธปืนขัดลำกล้อง ก่อนจะมีเพื่อนซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร ยื่นอาวุธปืน AK 47 ให้ จึงใช้ยิงใส่ จนท.ทหาร จนได้รับบาดเจ็บ โดยนายปรีชา ได้อาวุธปืน AK47 ยิงซ้ำเข้าไปในเต็นท์ทหาร จุดเดียวกันกับ นายกิตติศักดิ์ ซึ่งบนกำแพงของอาคาร โดยรอบยังคงพบร่องรอย ของกระสุนอยู่เป็นจำนวนมาก
หลังจากทั้งหมดผู้ก่อเหตุ ได้มารวมตัวกันอีกครั้ง ที่จุดจอดรถตู้ ก่อนขับอ้อมไปตามถนนตะนาว เข้าถนนดินสอ ซึ่งได้สวนทางกับรถฮัมวี่ ของ จนท.ทหาร บริเวณสะพานวันชาติ ก่อนที่หนึ่งในคนร้าย ได้ลดกระจกลงพร้อมด่าทหารว่า “มาทำ....(เหี้ย) อะไรกันที่นี่ ทำไมไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ กันที่ภาคใต้” ทำให้ทหารสามารถจำหน้าของคนร้ายได้ จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้แยกย้าย หลบหนีกันไปหลายปี ก่อนจะถูกจับกุมได้
วันที่ 10 เม.ย.53 กลุ่มผู้ต้องหา จึงได้ลงมือก่อเหตุ ใช้รถตู้สีขาว เป็นยานพาหนะ พร้อมอาวุธสงคราม มาจอดบริเวณทางเข้าหน้าสำนักงานบริพัตร ถนนตะนาว แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งหากจากวัดมหรรณพาราม ประมาณ 20 เมตร หลังรับมอบอาวุธมาจาก คอนโดมิเนียมบ้านริมน้ำ ถนนรามอินทรา
หลังจากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 3 คน คือนายกิตติศักดิ์ นายปรีชา นายชำนาญ ได้นำอาวุธสงครามออกมาก่อเหตุ โดยนายกิตติศักดิ์ ได้เป็นผู้เปิดฉากยิงอาวุธปืน ชนิด เอ็ม 79 หลังจานั้นนายปรีชา ได้ยิงอาวุธปืน AK47 เข้าใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่และผู้ชุม ที่อยู่บริเวณแยกคอกวัว ส่วนนายชำนาญ ได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 ยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ด้วย เช่นกัน ส่วนนายธรรมรัตน์ สุ่มสี หรือนายดำ ได้อยู่ร่วมก่อเหตุด้วย โดยใช้อาวุธปืนชนิด M79 ซึ่งหลังเกิดเหตุ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคประจำตัว ขณะที่นางปุณิกา ชูศรี หรืออร ยังคงนั่งอยู่ภายในรถตู้ พร้อมกับ ครอบครองระเบิดเพลิงไว้ สำหรับนายนายรณฤทธิ์ เป็นผู้ขับขี่รถตู้ที่ใช้ในการก่อเหตุ หลังจากผู้ต้องหาทั้ง 3 ก่อเหตุ ในจุดแรกผู้ต้องหาทั้งหมด ได้พยายามลักลอบนำอาวุธสงครามเข้าไป ภายในถนนราชดำเนิน
นายกิตติศักดิ์ และนายปรีชา พยายามจะผ่านจุดคัดกรอง เข้าไปภายในถนนราชดำเนิน แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้น พบอาวุธสงคราม แต่เมื่อบอกรหัส “พิราบขาว” การ์ด จึงปล่อยให้ทั้งคู่เข้าไป
ส่วนนายชำนาญ ได้แอบลักลอบเข้าไป บริเวณถนนตะนาว ฝั่งซอยดำเนินกลางเหนือ ห่างจากถนนข้าวประมาณ 10 เมตร ผ่านทางด้านข้างฝั่งซ้ายของแผงกั้น พร้อมกับอาวุธปืน M16 โดยยิงเข้าใส่ จนท.ทหาร ที่ประจำอยู่บนอาคารสำนักงานฉลากกินแบ่ง (อาคารเก่า) หลังจากนั้นนายกิตติศักดิ์ ได้ใช้อาวุธปืนชนิด M79 ยิงใส่เต็นท์ จนท.ทหาร หน้าร้านแกรนด์ จิวเวอร์รี่ แต่อาวุธปืนขัดลำกล้อง ก่อนจะมีเพื่อนซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร ยื่นอาวุธปืน AK 47 ให้ จึงใช้ยิงใส่ จนท.ทหาร จนได้รับบาดเจ็บ โดยนายปรีชา ได้อาวุธปืน AK47 ยิงซ้ำเข้าไปในเต็นท์ทหาร จุดเดียวกันกับ นายกิตติศักดิ์ ซึ่งบนกำแพงของอาคาร โดยรอบยังคงพบร่องรอย ของกระสุนอยู่เป็นจำนวนมาก
หลังจากทั้งหมดผู้ก่อเหตุ ได้มารวมตัวกันอีกครั้ง ที่จุดจอดรถตู้ ก่อนขับอ้อมไปตามถนนตะนาว เข้าถนนดินสอ ซึ่งได้สวนทางกับรถฮัมวี่ ของ จนท.ทหาร บริเวณสะพานวันชาติ ก่อนที่หนึ่งในคนร้าย ได้ลดกระจกลงพร้อมด่าทหารว่า “มาทำ....(เหี้ย) อะไรกันที่นี่ ทำไมไม่ไปปฏิบัติหน้าที่ กันที่ภาคใต้” ทำให้ทหารสามารถจำหน้าของคนร้ายได้ จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้แยกย้าย หลบหนีกันไปหลายปี ก่อนจะถูกจับกุมได้